แผนการเล่นยอดนิยมในวงการฟุตบอล ( 4 – 3 – 3 ) 

แผนการเล่นยอดนิยมในวงการฟุตบอล ( 4 – 3 – 3 ) โดยลดกองกลางจากเดิมที่มี 4 คน เหลือ 3 คน และไปเพิ่มผู้เล่นในแนวรุกจาก 2 เป็น 3 คน ระบบ 4 – 3 – 3 มีฟันเฟืองที่สำคัญอยู่ที่แดนกลางเหมือนเดิม โดยเวลาเล่นเกมส์รับ กองกลางทั้ง 3 คน จะขยับเข้ามาเล่นแบบแคบอยู่ตรงกลาง ส่วนพื้นที่ด้านข้าง จะเป็นความรับผิดชอบของแบ็คและปีกทั้ง 2 ข้าง

แต่เวลาที่ทีมเล่นเกมส์รุก กองกลางทั้ง 3 คนจะขยายออกกว้าง เพื่อเล่นต่อบอลและทำเกมส์บุก การจ่ายบอลไปแดนหน้าของระบบนี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากแนวรุกทั้ง 3 คนจะยืนกระจายอยู่ทั่วแนวศัตรู ทำให้กองกลางมีตัวเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น การแบ่งหน้าที่ในแผงกองกลางของระบบ 4 – 3 – 3 จะมีกองกลางตัวรับ 1 คน

ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้เล่นหมายเลข 4 หรือ 6 และกองกลางตัวรุก 2 คน

ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นผู้เล่นเบอร์ 8 และ เบอร์ 10 โดยทีมที่ใช้ระบบนี้มาอย่างยาวนานก็อย่างเช่น บาร์เซโลน่า โดยใช้ระบบ 4 – 3 – 3 มาตั้งแต่ยุค โยฮัน ครัฟ ต่อมายัง แฟรงค์ ไรจ์การ์ด, เป๊ป กวาดิโอล่า และ หลุยส์ เอนริเก้ ในปัจจุบัน จนระบบนี้เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าของทีม บาร์เซโลน่า ไปแล้ว

เพราะมันฝังรากลึกลงไปถึงทีมระบบเยาวชน โดยที่ ลามาเซีย จะฝึกดาวรุ่งของทีมให้เข้าใจพื้นฐานและหัดเล่นระบบนี้จนช่ำชอง เพื่อที่เวลาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เหล่าดาวรุ่งจะสามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้ทันที บาร์เซโลน่า เป็นทีมที่ใช้ระบบนี้เพียงระบบเดียวเท่านั้น ไม่มีการปรับแผนใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ก็สามารถพาทีมไปเป็นเบอร์ 1 ของโลกฟุตบอลได้

แต่ก็ใช่ว่าที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะระบบแผนการเล่น ที่จริงแล้วมันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของระบบกับตัวผู้เล่นมากความสามารถที่ บาร์เซโลน่า มี จุดแข็งของระบบ 4 – 3 – 3 คือ การที่ผู้เล่นในแนวรุกทั้ง  3 คนยืนตำแหน่งที่กว้างกว่าปกติ ทำให้สมารถกดดันแนวรับของคู่แข่งได้ทั้งหมด รวมถึงอิสระในการเล่นของผู้เล่นกองกลาง ที่เน้นบุกอย่างเดียว แถมมีตัวเลือกให้จ่ายบอลค่อนข้างมากด้วย จุดอ่อน คือ ระบบนี้จะต้องใช้ผู้เล่นที่คิดเร็วทำเร็ว เคลื่อนที่ค่อนข้างมาก และต้องเข้าใจกัน ช่วยกันเคลื่อนที่ทั้งทีม หากมีตำแหน่งพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจเสียประตูได้